อาหารเช้าคีโต กินอะไรดี? รวมเมนูทำเองได้ง่าย ๆ สไตล์คีโต
ประโยชน์หลักอย่างหนึ่งของอาหารคีโตคือสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ สิ่ เมื่อเริ่มรับประทานอาหารคีโต หลายคนมักไม่อยากทานอาหารเช้าเพื่อประหยัดแคลอรี อย่างไรก็ตาม อาหารเช้าเป็นส่วนสำคัญของการควบคุมอาหารแบบคีโต วันนี้เราจะมาแนะนำเมนู อาหารเช้าคีโต น่ารับประทาน สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะรับประทานอะไรดีมากฝากกัน
การกินคีโตคืออะไร
การกินคีโตคือการทำให้ร่างกายเกิดภาวะคีโตซิส (Ketosis) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าภาวะที่ร่างกายนำไขมันในร่างกายมาเป็นแหล่งพลังงานหลัก อาหารที่ชาวคีโตเลือกกินเป็นหลักนั้นได้แก่ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน
หลายคนคงคุ้นเคยกับว่าคีโต และการทานคีโตนั้นเป็นการงดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกอย่าง แต่แท้จริงแล้ว คำว่าคีโต มาจากคำว่า คีโตเจนิก ไดเอต (Ketogenic diet) เป็นการรับประทานอาหารโดยลดจำนวนคาร์โบไฮเดรต (รวมไปถึงน้ำตาล) และเน้นบริโภคไขมันและโปรตีนดีเป็นหลัก การลดน้ำหนักประเภทนี้ โดยทั่วไปอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็กกลูโคลส (Glucose) จากนั้นตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินเพื่อใช้เป็นพลังงานหลักของร่างกาย ช่วยให้ไม่มีน้ำตาลตกค้างมากเกินไป แต่เมื่อเราลดการรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ร่างกายก็จะนำไขมันที่สะสมไว้มาเผาผลาญให้เป็นพลังงานหลัก กลายเป็นสารคีโตนบอดี้ส์ (Ketone Bodies) นั่นเอง
การกินคีโตเองก็แยกย่อยไปอีก 4 ประเภท ได้แก่
- Standard Ketogenic Diet (SKD) เป็นสูตรยอดนิยมและเห็นผลได้รวดเร็วที่สุด เป็นการรับประทานไขมันเป็นจำนวนมากถึง 75% โปรตีนสัดส่วน 25% และเน้นคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุดอยู่ที่ 5% เพื่อเร่งให้ร่างกายเกิดกระบวนการคีโตสิส โดยไขมันที่รับประทานนั้นควรเป็นไขมันดี เช่นน้ำมันหมู ผลอะโวคาโด กลุ่มปลาที่ให้ไขมันและโอเมกาสูง เนื้อสัตว์ รวมไปถึงกี (เนยเหลวใส) เป็นต้น หรือในบางคนที่อาจจะควบคุมยากสักหน่อย ก็ให้ลองกินโปรตีนร่วม ในสัดส่วน 15-20% และคาร์โบไฮเดรต 5-10%
- High-Protein Ketogenic Diet (HPKD) ในสูตรนี้คล้ายกับ SKD แต่จะเน้นในสัดส่วนของโปรตีนที่มากกว่า กล่าวคือเน้นมากถึง 35% ทำให้คนที่เริ่มไดเอตคีโตรู้สึกว่าง่ายกว่า เพราะในปริมาณของโปรตีนที่มากขึ้นทำให้สามารถเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายในแต่ละมื้อ อีกทั้งกระบวนการคีโตสิสก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อัตราส่วนไขมัน 65-60% โปรตีน 35-30% และคาร์โบไฮเดรต 5-10%
- Cyclical ketogenic diet (CKD) ประยุกต์มาจากสูตร SKD สัดส่วนการรับประทานอาหารเท่ากัน แต่จะแบ่งการรับประทานที่จำนวนวันต่างกัน บ้างอาาจะรับประทาน 5 วันแล้วรับประทานอาหารตามปกติ หรือ 4วันทานคีโ๖แล้วกลับไปรับประทานอาหารปกติ วนลูปเช่นนี้ไป แต่ก็ยังคงห้ามคาร์โบไฮเดรตจากน้ำตาลโดยตรงเพราะทำให้การไดเอทคีโตไม่ได้คุณภาพ ควรได้คาร์โบไฮเดรตจากผักผลไม้เท่านั้น
- Targeted ketogenic diet (TKD) กล่าวคือรับประทานอาหารคีโตตามปกติ แต่มีกฏเหล็กก็คือต้องรับประทานคาร์โบไฮเดรตได้หลังจากออกกำลังกายเท่านั้น ซึ่งสูตรนี้มักใช้กับนักเพาะกายหรือนักกีฬาที่ต้องควบคุมน้ำหนักและมวลกล้ามเนื้อ อนึ่งเพราะนักก๊ฬาต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาล การเผาผลาญพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเพื่อคุมความสมดุลนั้นสำคัญมาก สัดส่วนการรับประทานคือ ไขมัน 70-65% โปรตีน 20% และคาร์โบไฮเดรต 10-15%
ทำไมช่วยให้หุ่นสวยได้
คีโตเป็นการรับประทานไขมันเพื่อลดไขมันในร่างกาย หลักการก็คือการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่น้อยมากหรือแทบไม่รับประทานเลย ซึ่งพอเรารับคาร์โบไฮเดรตที่เป็นส่วนสำคัญในการย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสที่จะส่งให้เป็นพลังงานต่อไปนั้นน้อยลง ทำให้ร่างกายรู้สึกว่าเรารับน้ำตาลไม่เพียงพอและคิดว่าเราอดอาหาร ร่างกายก็จะนำไขมันที่สะสมมาเป็นพลังงานทดแทนและหลั่งสารคีโตน (Ketone)
แล้วทำไมถึงลดน้ำหนักได้จริง? จะมีผลในระยะยาวไหม? จากการกล่าวถึงกระบวนการไดเอทคีโตจากข้างต้นแล้วนั้น การที่น้ำหนักลดเป็นเพราะว่าร่างกายคิดว่าเราอดอาหาร และในช่วงเวลาร่างกายสลายไขมันก็จะเกิดการสูญเสียน้ำร่วมด้วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงนั่นเอง นอกจากนี้กระบวนการคีโตนทำให้เบื่ออาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลงทำให้มวลน้ำหนักร่างกายลดลงตามไปด้วย ส่วนในเรื่องมีผลในระยะยาวไหมนั้น ต้องบอกว่ามีการโยโย่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วยขนาดนั้น ฉะนั้นการที่จะไอเดทคีโตให้ลดน้ำหนักและเห็นผลที่ชัดเจนไม่ควรกินติดต่อกัน 6 เดือน และควรตรวจสภาพร่างกาย ตับ และไตหลังจากไดเอตครบ 6 เดือนเพื่อติดตามสุขภาพร่างกายจากภายในว่าขาดสารอาหารหรือมีอันตรายหรือไม่และในระหว่างลดน้ำหนักอาจะมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดหัว ท้องผูก หรือร่างกายอ่อนล้าได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก
คีโตกินอะไรได้และไม่ได้บ้าง
ชาวคีโตนั้นถึงจะมีข้อห้ามในเรื่องรับประทานอาหาร แต่ก็ถือว่ายังมีตัวเลือกอาหารอยู่หลากหลาย โดยในส่วนที่รับประทานได้จะแบ่งออกได้ดังนี้
1.โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (Animal proteins)
- อาหารทะเล โดยเฉพาะปลาและหอยเปลือกแข็งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีของชาวคีโต ปลาที่นิยมรับประทานได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาแมคเคิลเรล ปลาซาร์ดีน และปลาแอนโชวี ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันดี วิตามินบี12สูง ที่สำคัญคือปริมาณ Carbs เป็นศูนย์
- เนื้อสัตว์ใหญ่และสัตว์ปีก เป็นแหล่งอุดมโปรตีนชั้นดีของชาวคีโต ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเมื่อร่างกายนำไขมันไปเผาผลาญและเสียน้ำ ทำให้ร่างกายยังคงสมรรถภาพอย่างดี กล้ามเนื้อไม่ลีบ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อสัตว์ใหญ่ไม่ควรมีติดมัน และไก่ควรเป็นสะโพก หรือเนื้ออกที่มีปริมาณเนื้อเน้น ๆ
- ไข่ไก่ ในไข่หนึ่งใบมีโปรตีนมากถึง 6 กรัมและCarbsเพียง 1 กรัมเท่านั้น นอกจากนี้ในงานวิจัยค้นพบว่าการบริโภคไข่ไก่ช่วยปรับให้ฮอร์โมนสมดุล และถึงแม้ว่าในไข่แดงจะมีโคเลเตอรอลสูงแต่ก็ไม่ได้ส่งผลถึงปัญหาของหัวใจของมนุษย์โดยตรง
2.ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมจากพืช นมวัวและชีสที่อาจมีส่วนผสมของนมแกะ (Dairy and dairy alternatives)
ชาวคีโตที่เป็นชีสเลิฟเวอร์นั้นจะต้องยิ้มหวาน เพราะว่าในชีสบางประเภทมีปริมาณ Carbsที่ต่ำและมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงเหมาะกับการรับประทานคีโตเป็นอย่างมาก และมาเช็คดูกันเลยว่าชีสที่ชาวคีโตระบประทานได้มีอะไรบ้าง
- ชีสสวิส (Swiss cheese)
- ชีสสตริง (String cheese)
- ชีสนมแกะ (Pecorino Romano cheese)
- ชีสโปรโวโลเน (Provolone cheese)
- ชีสแจ็ค (Pepper jack cheese)
- ชีสพาร์มีซาน (parmesan cheese)
- ชีสมุนสเตอร์ (Munster cheese)
- ชีสมอสซาเรลล่า (mozzarella cheese)
- ชีสมาสคาโปน (Mascarpone Cheese)
- ชีสมันเชโก หรือ เนยแข็งลามันชา (queso manchego)
- ชีสลิมเบอร์เกอร์ (limburger cheese)
- ชีสฮาวาร์ติ (Havarti cheese)
- ชีสฮาลูมี (halloumi cheese)
- ชีสเฟตา (feta cheese)
- ครีมชีส (cream cheese)
- ชีสคอตเทจ (cottage cheese)
- ชีสเชฟเร่ (Chevre Cheese)
- ชีสเชดดาร์ (Cheddar Cheese)
- ชีสกามองแบร์ (Camembert Cheese)
- ชีสบรี (Brie)
- บลูชีส (Blue cheese)
นอกจากชีสแล้วยังมีกรีกโยเกิร์ตและครีมอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่ง ในส่วนของครีมนั้นเสริมเพิ่มในกาแฟหรือเป็นส่วนผสมของอาหารของชาวคีโต เน้นย้ำว่าใส่ลงไปได้เล็กน้อย
- นมที่ทำจากพืช ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมข้าวโอ๊ต นมมะพร้าว เพื่อให้รับประทานตีโตอย่างเห็นผลที่สุดควรเป็นประเภทไม่มีน้ำตาลผสมอยู่เลย น้ำตาลเทียมก็ห้ามเช่นกันเพราะจะไปกระตุ้นการทำงานอินซูลินที่ผิดเพี้ยนไปได้
- ผักใบเขียว (Green leafy vegetables) แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีและมี Carbsที่ต่ำ แต่ห้ามรับประทานผักหัว ได้แก่
- ผักสลัด เช่น ผักกาดหอม ผักโขมเบบี้ ปวยเล้ง ผักร็อกเก็ต คอส ผักกาดแก้ว กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เป็นต้น
- ผักสวนครัว ผักกวางตุ้ง เคล กะหล่ำปลี ผักโขม ผักกาดเขียวปลี เป็นต้น
- สมุนไพร ตะไคร้ ใบมิ้นต์ ใบกะเพราะ ใบโหระพา ออรีกาโน ผักชี ผักชีฝรั่ง เป็นต้น
- ผักไขมันสูง (High fat veggies) เป็นรู้กันดีว่าอะโวคาโดและมะกอก เป็นผักที่ให้กรดไขมันสูง และเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดดี
- ผักกลุ่มที่ไม่มีแป้ง (Non-starchy vegetables) ตัวอย่างของผักกลุ่มนี้ได้แก่
- หน่อไม้ฝรั่ง
- บล็อคโคลี่
- แตงกวา
- เห็ด
- เมล็ดถั่วสีเขียว เช่น ถั่วลันเตา
- กระเจี๊ยบเขียว
- มะเขือยาว
- มะเขือเทศ
- ผักกาด
- มันแกว
- หัวไชเท้า
3.ประเภทถั่วและธัญพืช (Nuts and seeds)
ได้แก่ เมล็ดเชีย เมล็ดแฟล็ก วอลนัต ถั่วพีแคน เมล็ดอัลมอนด์ ถั่วแมคคาเดเมีย
- ผลไม้ตะกูลเบอร์รี่ (Berries) เพราะผลไม้ประเภทอื่นอุดมไปด้วยแป้ง น้ำตาลเป็นจำนวนมากแต่ยกเว้นผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนตระกูลเบอร์รี่ โดยเฉพาะสอตร์เบอร์รี่และราสเบอร์รี่มีปริมาณ Carbs ที่ต่ำกว่าตัวอื่น ๆ
- เส้นบุก (shirataki noodles) แคลเลอรี่ต่ำมากทำให้มีความรู้สึกอิ่มได้นานอีกทั้งยังมีเส้นใยสูง
- น้ำมันโอลีฟ (Olive oil) เป็นน้ำมันที่สุดของชาวคีโตที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือถ้าใครอยากลดบัดเจตการซื้อนำมัน ก็มารับประทานน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมูก็ได้เช่นกัน
- เนยและเนยใสเหลว (Butter and ghee) ความแตกต่างของเนยสองตัวนี้คือ เนยทั่วไปยังคงมีปริมาณCarbsที่ต่ำบ้าง แต่ในขณะเนยใสเหลว (เนยกี) จะไม่มีCarbsอยู่เลย
- ดาร์คช็อคโกแลตและผงช็อคโกแลต (Dark chocolate and cocoa powder) แม้จะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ชาวคีโตเองก็สามารถลิ้มรสช็อคโกแลตได้โดยไม่ต้องอด แต้มีข้อแม้ว่าช็อคโกแลตนั้นต้องมีปริมาณไขมันโกโก้เข้มข้นอย่างน้อย 70% ขึ้นไปหรือมากกว่านั้นยิ้งดี
- เครื่องดื่ม (Beverages) ชาวคีโตสามารถดื่มชาและกาแฟได้ตามปกติ สามารถใส่นมหรือเฮฟวี่ครีมลงไปได้ แต่ต้องย้ำเสมอว่าไม่ให้ใส่น้ำตาล เพราะในสารอาหารอื่น ๆ นั้นก็มีปริมาณน้ำตาลอยู่แล้ว การที่เพิ่มน้ำตาลลงไปในเครื่องดื่มจะทำให้การกินคีโตไม่เป็นผลนัก
อาหารที่ชาวคีโตห้ามกิน
- ประเภทเนื้อปรุงแต่ง เช่น เบคอน แฮม โคลด์คัตส์ และเนื้อสัตว์ติดมันทั้งหมด
- ผักประเภทมันหัว เติบโตใต้ดิน เช่น มันฝรั่ง หัวหอม ข้าวโพด และบีทรูทต์
- น้ำอัดลม ขนมหวาน ขนมขบเตี้ยว เพราะมีน้ำตาลและปริมาณโซเดียมที่สูงเกินอัตราเปอร์เซนต์ที่แต่ละสูตรคีโตกำหนดๆไว้
- น้ำตาลที่ควรเลี่ยง คือ น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลขัดขาว น้ำผึ้งทุกชนิด น้ำเชื่อม น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลแอลกอฮอล์ (ซอร์บิทอลไซลิทอลแมนนิทอล) และซูคราโลส
- ผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- ถั่วต่าง ๆ เพราะในถั่วเป็นพืชที่ปลูกใต้ดินและยังมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง
- อาหารประเภทแป้งและธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น การกินควินัว ข้าวโอ๊ต ข้าวสวย ขนมปังต่าง ๆ เส้นพาสต้าทั้งหลาย เป็นต้น
เครื่องปรุงที่ชาวคีโตเจนิคกินได้
ชาวไทยที่บริโภคคีโตต่างตื่นตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะทางตลาดผลิตภัณฑ์ก็ออกขายมากมายให้ได้เสือกสรร แต่ถ้าไม่ได้ติดฉลากว่าเป็นคีโตแล้วเราจะรับประทานเครื่องปรุงใดได้บ้างนะ
- น้ำปลา ลักษณะที่ควรสังเกตุน้ำปลาของชาวคีโตคือต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล หรือมีส่วนผสมของสารให้ความหวานทดแทน
- เกลือชมพู (เกลือหิมายัน) เป็นเกลือบริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่งใดใด อีกทั้งหากเปรียบเทียบกับเกลือน้ำเค็มทั่วไปแล้ว เกลือชมพูนั้นมีปริมาณโซเดียมที่น้อยกว่ามาก
- สารให้ความหวานทดแทน เช่น หญ้าหวาน (Stevia) นอกจากให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า ก็ยังไม่ต้องกังวลเรื่องแคลเลอรี่เพราะหญ่าหวานนั้นมีแคลเลอรี่เท่ากับ 0 หรือ หล่อฮังก้วย (Monk fruit) ให้ความหวานมากเทียบเท่ากับหญ้าหวาน อีกทั้งให้พลังงานแต่ไม่มีไขมันติดพัน
- ซีอิ้วขาวและซีอิ๊วดำ เพราะไม่มีส่วนผสมของแป้งนั่นเอง
รวมเมนู อาหารเช้าคีโต ทำได้ง่าย ๆ
1.กรีกโยเกิร์ตกับผลไม้
ส่วนผสม
- กรีกโยเกิร์ต 130 กรัม
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ตามใจชอบ 1 หยิบมือ
- ถั่ววอลนัทและเมล็ดอัลมอนด์
วิธีทำ
- เตรียมกรีกโยเกิร์ตใส่ลงในถ้วย จากนั้นหั่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ลงไป เรียงจัดให้สวยงาม
- จากนั้นโรยด้วยถ่ววอลนัทและเม็ดอัลมอนด์
- คลุกเคล้าให้เข้ากันหรือรับประทานได้เลย
2.ไข่ดาวและผักโขมผัด
ส่วนผสม
- น้ำมันมะกอก 1ช้อนโต๊ะครึ่ง
- กระเที่ยมหั่น 2 กลีบ
- ผักโขม 200 กรัม
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- เกลือหิมาลัย หรือเกลือเกล็ดทะเล
- กรีกโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเลมอนหรือน้ำมะนาว ตามใจชอบ
วิธีทำ
- ใส่น้ำมันมะกอกลงในไฟ่ต่ำ คลุกเคล้าจนเกือบเหลืองและใส่เกลือลงไป
- จากนั้นให้ใส่ผักโขมลงไป ผักให้เข้ากันด้วยไฟอ่อนและดับไฟลง ผัดให้ใบผักโขมอ่อนตัว
- นำผักโขมที่ผัดจนสุกแล้วใส่จาน ใส่น้ำมันมะกอกตั้งไฟอ่อน เมื่อร้อนได้ที่แล้วตอกไข่ลงไปสองฟองทอดจนสุกตามใจชอบ
- เมื่อวางไข่และผักโ๘มผัดลงในจานแล้ว ให้นำกรีกโยเกิร์ตคลุกเคล้ากับผักโขมและบีบน้ำเลมอนลงไป ชิมรสชาติตามใจชอบ
3.ไข่ขาวคนใส่มะเขือเทศ เห็ดและชีส
ส่วนผสม
- ไข่ขาวล้วน 3 ฟอง
- เนย 1 ก้อนเล็ก
- มะเขือเทศครึ่งลูกหั่นเต๋า
- เห็ดหั่นเต๋า ปริมาณตามใจชอบ
- เชดดาร์ชีส 35 กรัม (หรือปริมาณตามใจชอบ)
- เกลือหิมาลายัน
วิธีทำ
- นำเนยไปทาบนกระทะตั้งไฟอ่อนและใส่เห็ดที่หั่นลงไป
- ผัดเห็ดจนหอมและใส่มะเขือเขือเทศหั่นเต๋าผัดซ้ำอีกครั้ง
- ใส่ไข่ขาวลงไป ยีคนจนสุก และโรยด้วยเชดดาร์ชีส
- เสริฟใส่จานโรยด้วยเกลือหิมาลายันพร้อมรับประทาน
4.สมูตตี้อะโวคาโดและผักโขม
ส่วนผสม
- นมมะพร้าวครึ่งถ้วยตวง
- น้ำครึ่งถ้วยตวงหรือจะมากกว่านี้ก็ได้ ตามใจชอบ
- อะโวคาโดหั่นครึ่งลูก
- หญ้าหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
- ผักโขมครึ่งถ้วยตวง
- น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
- เวย์โปรตีน 2 ช้อนตวง (ทางเลือก)
วิธีทำ
- นำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงไปในเครื่องปั่น โดยเทน้ำลงไปทีละหนึ่งส่วนสาม แล้วปั่นให้ละเอียด เลือกความข้นของตัวสมูตตี้ได้ตามใจชอบ
- เทใส่แก้วพร้อมดื่มได้เลย นับว่าเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนักที่ทำง่ายและมีรสชาติอร่อยอีกด้วย
อ้างอิงมาจาก
https://ketothailand.xyz/olive-oil-101/
https://www.ketonistathailand.com/post/_ghee
https://www.doctorkiltz.com/keto-fish/
https://www.ketokeuhnnutrition.com/keto-recipes/keto-herbs-and-spices/
https://www.allrecipes.com/recipe/264206/keto-avocado-spinach-smoothie/
https://www.evergreen-life.co.uk/health-and-wellbeing/ketogenic-diet-beginners-guide-to-keto