วิตามินซี เป็นหนึ่งในสารอาหารที่เรียกได้ว่าขาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดี ทั้งในแง่ของการเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผิวใสดูอิ่มน้ำ ไปจนถึงการป้องกันโรคต่าง ๆ อย่างโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามที่หลายคนสงสัยกันไม่น้อยว่า “เราต้องกินวิตามินซีทุกวันจริงหรือเปล่า?” หรือ “ถ้ากินเยอะไปจะเป็นอะไรไหม?” จริง ๆ แล้ว วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร นั้นไม่ได้มีดีแค่ช่วยให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และช่วยดูดซึมธาตุเหล็กอีกด้วย แล้วถ้าคุณเป็นสายเฮลตี้หรือกำลังมองหาตัวช่วยเสริมสุขภาพ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกเรื่องเกี่ยวกับวิตามินซี ตั้งแต่ประโยชน์ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ ไปจนถึงคำแนะนำว่าควรบริโภคยังไงให้เหมาะสม และปลอดภัยสุด ๆ ถ้าพร้อมแล้ว มาไขความลับของวิตามินซีไปพร้อมกัน!
วิตามินซีคืออะไร และทำไมร่างกายถึงต้องการ?
วิตามินซี หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรือเก็บสะสมวิตามินซีได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในทุกวัน หากถามว่า วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร เราจะได้คำตอบว่าวิตามินนี้ช่างมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางชีวภาพหลากหลายด้าน ตั้งแต่การสร้างเนื้อเยื่อไปจนถึงการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเลยทีเดียว
1 เสริมการผลิตคอลลาเจน
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่สำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง, กระดูก, เส้นเอ็น, และหลอดเลือด วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้ผิวหนังดูเรียบเนียน ยืดหยุ่น และช่วยสมานแผลได้เร็วขึ้น
- งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการบริโภควิตามินซีในปริมาณ 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การได้รับวิตามินซีจากอาหาร เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม และฝรั่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ง่าย สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวและลดริ้วรอยได้ดี
2 ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง และวิตามินซีเองก็มีบทบาทในการช่วยดูดซึมธาตุเหล็กที่ไม่ใช่เฮม (Non-Heme Iron) ซึ่งพบมากในพืช เช่น ผักโขม, ถั่วแดง, และธัญพืช โดยช่วยเปลี่ยนธาตุเหล็กให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น
- มีข้อมูลว่าการบริโภควิตามินซี ประมาณ 50-100 มิลลิกรัมต่อมื้อ สามารถเพิ่มอัตราการดูดซึมธาตุเหล็กได้สูงถึง 67%
- สำหรับคนไทยที่นิยมบริโภคอาหารจากผักเป็นหลัก การเพิ่มวิตามินซีในมื้ออาหาร เช่น การทานมะนาวคู่กับส้มตำ หรือทานผลไม้สดหลังมื้ออาหาร ช่วยลดความเสี่ยงของโรคโลหิตจางได้
3 เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินซีเป็นตัวช่วยสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ฟาโกไซต์ (Phagocytes) ที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค
- การวิจัยระบุว่าการบริโภควิตามินซี อย่างน้อย 200 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ถึง 8-14% และช่วยลดความรุนแรงของอาการโรคเบาหวาน
- ในประเทศไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศบ่อย การเสริมวิตามินซีจากผลไม้สด เช่น ฝรั่ง และมะขามป้อม สามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์
อนุมูลอิสระ เป็นสารที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย หรือจากปัจจัยภายนอก เช่น มลพิษ และแสงแดด วิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคทางระบบประสาท
- ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริโภควิตามินซีในปริมาณ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ถึง 20-25%
- สำหรับคนไทยที่เผชิญกับมลภาวะในเมือง การเสริมวิตามินซีเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดโรค
วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
สารอาหารชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) และฟาโกไซต์ (Phagocytes) ที่ช่วยป้องกันและกำจัดเชื้อโรค นอกจากนี้ วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์เหล่านี้ พร้อมทั้งปกป้องจากอนุมูลอิสระที่อาจทำให้เซลล์เสียหาย การมีภูมิคุ้มกันที่ดีมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล โดยเครื่องเครื่องวัดน้ําตาลในเลือดก็สามารถช่วยวัดได้ในระดับหนึ่ง
- จากการศึกษาพบว่าการบริโภคในปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถลดระยะเวลาการป่วยไข้หวัดได้ถึง 8% สำหรับผู้ใหญ่ และ 14% สำหรับเด็ก
- ในสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญกับมลพิษและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ การเพิ่มปริมาณสารอาหารจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ฝรั่ง หรือมะขามป้อม จะช่วยส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันได้ดี
สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
การบริโภคอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยมีบทบาทในการลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
- ผลวิจัยชี้ว่า การรับประทานในปริมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดความดันโลหิตซิสโตลิกได้ถึง 4 มิลลิเมตรปรอท และลดไดแอสโตลิกได้ประมาณ 1.5 มิลลิเมตรปรอท
- สำหรับคนที่เผชิญปัจจัยเสี่ยง เช่น อาหารไขมันสูงหรือความเครียด การบริโภคผลไม้สดอย่างส้ม หรือพริกหวานแดง จะช่วยเสริมสุขภาพหลอดเลือดได้
ปกป้องผิวและลดริ้วรอย
เมื่อพูดถึงสุขภาพผิว สารอาหารชนิดนี้ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นและเรียบเนียน อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายจากแสง UV และมลภาวะต่าง ๆ
- งานวิจัยระบุว่าการบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดริ้วรอยได้ถึง 15% และเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวได้มากถึง 20%
- สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับแสงแดดแรง การเพิ่มปริมาณจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น ฝรั่ง และสตรอว์เบอร์รี่ จะช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือนจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดความเสี่ยงของโรคเกาต์
โรคเกาต์เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งหากปล่อยไว้จะนำไปสู่การอักเสบของข้อต่อ การบริโภคสารอาหารชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือด และลดโอกาสการเกิดโรคเกาต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- งานวิจัยที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างชาย 46,994 คน ตลอด 20 ปี พบว่าผู้ที่ได้รับสารอาหารชนิดนี้ในปริมาณสูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ลดลงถึง 44% เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับในปริมาณต่ำ
- ในชีวิตประจำวัน การเพิ่มปริมาณสารอาหารจากผลไม้ เช่น น้ำมะนาว หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยควบคุมระดับกรดยูริกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราควรกินวิตามินซีทุกวัน Facts or fake?
ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันสำหรับวัยต่าง ๆ
การบริโภควิตามินในปริมาณที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด โดยปริมาณที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามช่วงวัยและสภาวะของร่างกาย
- เด็กเล็ก (1-3 ปี): ควรได้รับประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กโต (4-8 ปี): ปริมาณที่แนะนำคือ 25 มิลลิกรัมต่อวัน
- วัยรุ่น (9-18 ปี): ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 45-75 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ใหญ่ชาย: ปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิง: ควรได้รับ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงตั้งครรภ์: ความต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 85 มิลลิกรัมต่อวัน และในช่วงให้นมบุตรอาจต้องเพิ่มเป็น 120 มิลลิกรัมต่อวัน
ในกลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่ ปริมาณที่แนะนำจะเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้ระดับวิตามินซีในร่างกายลดลง
ความสำคัญของการได้รับวิตามินซีจากอาหารธรรมชาติ
แม้ว่าสามารถหาได้จากอาหารเสริม แต่แหล่งที่ดีที่สุดยังคงเป็นอาหารธรรมชาติ เนื่องจากนอกจากจะได้รับวิตามินซีแล้ว ยังได้สารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่งที่ให้วิตามินซีสูงถึง 228 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม หรือพริกหวานแดงที่มีปริมาณ 190 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ทั้งนี้ การบริโภคอาหารธรรมชาติยังช่วยให้ร่างกายได้รับใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง สำหรับคนไทยที่มีวัตถุดิบสดใหม่ เช่น มะละกอ ส้ม และมะขามป้อม การปรุงอาหารหรือการบริโภคผลไม้สดในทุกมื้ออาหารจึงเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณวิตามินซีในแต่ละวัน
เมื่อไหร่ที่จำเป็นต้องกินอาหารเสริม
แม้ว่าการได้รับวิตามินซีจากอาหารธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีความต้องการสูงขึ้น หรือไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีเพียงพอได้ การเสริมด้วยอาหารเสริมจึงเป็นทางเลือกที่ดี
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร นอนไม่หลับ หรือมีภาวะการดูดซึมไม่ดี อาจต้องการวิตามินซีในรูปแบบเสริม เช่น เม็ดฟู่หรือแคปซูล
- ในช่วงที่มีโรคระบาดหรือไข้หวัดใหญ่ การเสริมวิตามินซีประมาณ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบริโภคเกินกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือการสะสมของนิ่วในไต ดังนั้นการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมวิตามินซีจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการบริโภค
ผลกระทบจากการบริโภคเกินขนาด
แม้ว่าวิตามินซีจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวัน หรือ Tolerable Upper Intake Level (UL) สำหรับผู้ใหญ่คือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หากบริโภคเกินกว่านี้อาจเกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น
- ท้องเสียและอาการทางระบบทางเดินอาหาร: การได้รับวิตามินซีเกินความต้องการอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือคลื่นไส้
- นิ่วในไต: การบริโภควิตามินซีในปริมาณสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต เนื่องจากวิตามินซีจะถูกเปลี่ยนเป็นออกซาเลต (Oxalate) ซึ่งอาจสะสมในไตและก่อให้เกิดนิ่วได้
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
สำหรับบางกลุ่มคน การบริโภคในปริมาณสูงอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น
- ผู้ป่วยโรคไต: กลุ่มนี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากวิตามินซีอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัตินิ่วในไตมาก่อน
- ผู้ที่มีโรคทางเดินปัสสาวะ: การบริโภควิตามินซีในปริมาณสูงอาจทำให้ระดับออกซาเลตในปัสสาวะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) และ โรคฮีโมโครมาโตซิส (Hemochromatosis): วิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมธาตุเหล็กในร่างกายเกินความจำเป็น
วิตามินซีช่วยในการล้างพิษในร่างกาย
วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการล้างพิษ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการขจัดสารพิษและลดการสะสมของอนุมูลอิสระในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมกระบวนการดีท็อกลำไส้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมและการขับถ่ายของเสีย โดยเฉพาะเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักและผลไม้สด จึงช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาลำไส้และส่งเสริมระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ.
การเลือกเสริมวิตามินซีอย่างปลอดภัย
เพื่อให้การบริโภควิตามินซีเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควรพิจารณาหลายปัจจัย เช่น
- ปริมาณวิตามินซีที่เหมาะสม: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีปริมาณระหว่าง 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินซี
- รูปแบบผลิตภัณฑ์: วิตามินซีมีหลายรูปแบบ เช่น เม็ดเคี้ยว เม็ดฟู่ และแบบแคปซูล ควรเลือกตามความสะดวกและความชอบ
- การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง การปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเสริมวิตามินซีจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการบริโภคจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
วิตามินซี นับว่าเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปกป้องผิวพรรณ หรือช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคเกาต์ อย่างไรก็ตาม การบริโภควิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ว่าร่างกายจะสามารถกำจัดวิตามินซีส่วนเกินได้ แต่การบริโภคมากเกินไปอาจนำไปสู่ผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือการเกิดนิ่วในไต ทั้งนี้การได้รับวิตามินซีจากอาหารธรรมชาติ เช่น ผลไม้และผักสด ควรเป็นทางเลือกแรก เพราะนอกจากจะได้วิตามินซีแล้ว ยังได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ในกรณีที่ไม่สามารถได้รับวิตามินซีเพียงพอจากอาหาร หรือมีความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงป่วยหรือมีความเครียด อาหารเสริมก็เป็นตัวช่วยที่ดี แต่ควรเลือกใช้อย่างระมัดระวังและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการเสริมวิตามินซีจะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเห็นผล
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. เราควรได้รับวิตามินซีเท่าไหร่ในแต่ละวัน?
ปริมาณวที่แนะนำในแต่ละวันจะแตกต่างกันไปตามช่วงวัยและเพศ ผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินซีประมาณ 75-90 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนเด็กจะต้องการน้อยกว่า โดยอยู่ที่ 15-45 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีความเครียดสูง อาจต้องการเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อชดเชยการสูญเสียวิตามินซีจากปัจจัยเหล่านี้
2. วิตามินซีช่วยป้องกันไข้หวัดได้จริงหรือไม่?
วิตามินซีไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดโดยตรง แต่สามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของการป่วยได้ งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพออาจลดระยะเวลาการป่วยได้ถึง 8-14% ทั้งนี้ การรับประทานวิตามินซีควบคู่กับการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกาย จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. อาหารชนิดใดที่มีวิตามินซีสูงที่สุด?
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงมาก โดยให้วิตามินซีถึง 228 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม รองลงมาคือพริกหวานแดงซึ่งให้ประมาณ 190 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และส้มที่ให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม การบริโภคผลไม้และผักสดในมื้ออาหารประจำวันจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
4. อาหารเสริมวิตามินซีมีความปลอดภัยแค่ไหน?
อาหารเสริมวิตามินซีถือว่าปลอดภัยเมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวันคือ 2,000 มิลลิกรัม หากบริโภคเกินนี้ อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง หรือเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้อาหารเสริมเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
อ้างอิง
- Ryan Raman, 7 Impressive Ways Vitamin C Benefits Your Body, Healthline, February 19, 2020, https://www.healthline.com/nutrition/vitamin-c-benefits.
- Kathleen M. Zelman, The Benefits of Vitamin C, WebMD, January 09, 2024, https://www.webmd.com/diet/features/the-benefits-of-vitamin-c
- Joseph Nordqvist, Vitamin C: Why is it important?, Medical News Today, November 10, 2023, https://www.medicalnewstoday.com/articles/219352