ลำไส้ของเราไม่ได้มีหน้าที่แค่ช่วยย่อยอาหาร หรือขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมแบบที่หลายคนอาจไม่เคยคิดถึง ลำไส้เต็มไปด้วยจุลินทรีย์นับล้านที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยดูดซึมสารอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน และกำจัดสารพิษออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าลำไส้ไม่แข็งแรงหรือไม่ได้ ดีท็อกลําไส้ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ ตั้งแต่ท้องอืด ไปจนถึงผิวพรรณที่หมองคล้ำ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ลำไส้ยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลผิวพรรณของเราอีกด้วย หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเวลาที่ระบบขับถ่ายไม่ดี ผิวหน้ากลับดูหมองคล้ำ หรือมีสิวขึ้น นั่นเป็นเพราะเมื่อระบบลำไส้ทำงานไม่เต็มที่ สารพิษที่ควรถูกขับออกอาจตกค้างอยู่ในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อสมดุลของฮอร์โมนและการทำงานของเซลล์ผิว ดังนั้น การดูแลลำไส้ให้สะอาดและแข็งแรงจึงไม่ใช่แค่เรื่องของระบบย่อยอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง
ดีท็อกลําไส้ คืออะไรและมีกี่รูปแบบ?
ดีท็อกลำไส้ คือ กระบวนการที่ช่วยกำจัดสารพิษและของเสียที่สะสมอยู่ในลำไส้ออกไป เพื่อฟื้นฟูการทำงานของระบบย่อยอาหารและปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ หลายคนอาจไม่รู้ว่าในลำไส้ของเรามีจุลินทรีย์มากกว่า 100 ล้านล้านตัว ซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี การดีท็อกนั้ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
ในประเทศไทย การดีท็อกเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการดูแลสุขภาพผิวพรรณและลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแส แต่ยังเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและได้ผลจริง หากทำอย่างถูกต้อง
รูปแบบของการ ดีท็อกลำไส้
การดีท็อกลำไส้มีหลายวิธีที่สามารถเลือกทำได้ตามความสะดวกและเป้าหมายของแต่ละคน โดยมีรูปแบบหลักๆ ดังนี้:
1. ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับดีท็อกลำไส้มักมีส่วนผสมของไฟเบอร์ โปรไบโอติก หรือสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ตัวอย่างเช่น ไซเลี่ยมฮัสก์ (Psyllium Husk) ที่มีใยอาหารสูงช่วยเพิ่มปริมาณกากใยในลำไส้ และสารสกัดจากอโลเวรา ที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในระบบย่อยอาหาร ข้อมูลจากตลาดในประเทศไทยปี 2565 ระบุว่ามูลค่าการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดีท็อกสูงถึง 5,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความนิยมในหมู่ผู้บริโภค
2. ปรับเปลี่ยนอาหาร
การปรับอาหารเป็นวิธีที่ปลอดภัยและทำได้ง่าย เพียงเพิ่มการบริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักผลไม้, ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ไฟเบอร์ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย แต่ยังช่วยเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ งานวิจัยพบว่าการบริโภคไฟเบอร์อย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้และโรคหัวใจได้
3. การทำความสะอาดลำไส้ด้วยวิธีธรรมชาติ
วิธีนี้รวมถึงการใช้สมุนไพรและเครื่องดื่มธรรมชาติ เช่น น้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นหรือน้ำลูกพรุน เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ นอกจากนี้ยังมีวิธีการสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสมุนไพร ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ วิธีนี้ควรทำอย่างระมัดระวังและภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากหากทำผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือเกิดแผลในลำไส้ ทั้งนี้แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อควรระวังต่างกันไป การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองควรพิจารณาจากสุขภาพและเป้าหมายของแต่ละคน โดยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัยหรือมีปัญหาสุขภาพเฉพาะทาง
ประโยชน์ของการดีท็อกลําไส้
1 ส่งเสริมสุขภาพผิว
ลำไส้ที่สะอาดช่วยลดการสะสมของสารพิษและของเสียที่อาจก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาสิวและผิวหมองคล้ำ จากข้อมูลของสมาคมแพทย์ผิวหนังพบว่า การอักเสบในระดับเซลล์จากระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวได้ถึง 30% นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะ วิตามินซี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความกระจ่างใสให้ผิวพรรณ วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวดูสดใสเปล่งปลั่ง แต่ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ในระยะยาวผู้ที่ดีท็อกลำไส้อย่างสม่ำเสมออาจสังเกตได้ว่าผิวมีความเรียบเนียนและกระจ่างใสมากขึ้นถึง 20-30% เมื่อเทียบกับก่อนทำ
2 สุขภาพทางเดินอาหารที่ดีขึ้น
หนึ่งในประโยชน์หลักข คือ การปรับปรุงการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยลดอาการท้องอืดและท้องผูกที่พบในคนไทยถึง 25% ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข การขับถ่ายที่ไม่ปกติอาจส่งผลให้เกิดการสะสมของเสียในลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไม่สบายท้อง การดีท็อกช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหารสามารถลดอาการท้องผูกได้ถึง 40% ภายใน 2 สัปดาห์
3 เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
ลำไส้เป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์ที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยประมาณ 70% ของเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหมดในร่างกายอยู่ในลำไส้ การมีลำไส้ที่สะอาดและสมดุลช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคและสารพิษที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การผลิตกรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acids) ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ยังช่วยเสริมความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้ ป้องกันการซึมผ่านของเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4 เพิ่มพลังงานและความสดชื่น
เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายก็สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินบีที่มีบทบาทในการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน งานวิจัยจากสถาบันโภชนาการแห่งชาติพบว่า ผู้ที่ปรับสมดุลลำไส้สามารถลดความรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวันได้ถึง 35% เมื่อการลดการสะสมของสารพิษในร่างกายยังช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นมากขึ้น การดีท็อกลำไส้ยังช่วยลดสารพิษในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ทำให้การพักผ่อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ที่ทำดีท็อกอย่างต่อเนื่องยังรายงานว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานและการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นในระยะเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์
วิธีการเริ่มต้น ดีท็อกลําไส้
การปรับเปลี่ยนอาหาร
การเริ่มต้นดีท็อกลำไส้ที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนอาหาร โดยเน้นการบริโภคอาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้และลดการสะสมของสารพิษในระบบทางเดินอาหาร
- อาหารที่ช่วยล้างลำไส้ : อาหารที่มีไฟเบอร์สูงเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการขับถ่ายและช่วยล้างสารพิษในลำไส้ เช่น ผักใบเขียว (คะน้า ผักโขม บรอกโคลี) และผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น แอปเปิล แก้วมังกร และฝรั่ง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบริโภคไฟเบอร์อย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวันสามารถลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ได้ถึง 20%
- ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง : อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น ขนมอบ ของหวาน และอาหารทอด ไม่เพียงเพิ่มภาระให้ระบบย่อยอาหาร แต่ยังเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหาในลำไส้ การลดปริมาณน้ำตาลในอาหาร สามารถช่วยลดโอกาสการสะสมสารพิษและป้องกันการอักเสบในลำไส้ได้ถึง 30%
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
สำหรับผู้ที่ต้องการดีท็อกลำไส้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สะดวก แต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
- ประเภทของผลิตภัณฑ์ดีท็อก : ผลิตภัณฑ์ดีท็อกที่ได้รับความนิยมในไทยมีหลายรูปแบบ เช่น
- ไฟเบอร์เสริม: ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ กระตุ้นการขับถ่าย
- สมุนไพร: เช่น ใบมะขามแขก ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างลำไส้
- โปรไบโอติก: จุลินทรีย์ที่ช่วยเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
งานวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานโปรไบโอติกอย่างต่อเนื่องสามารถลดปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกและท้องเสีย ได้ถึง 40%
- ข้อควรระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ : ก่อนเลือกใช้ ควรตรวจสอบส่วนผสมและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสมุนไพรหรือสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
การดูแลสุขภาพโดยรวม
- ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย : การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ กิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินเร็ว โยคะ หรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในระบบย่อยอาหาร งานวิจัยชี้ว่าผู้ที่ออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำมีโอกาสลดอาการท้องผูกได้ถึง 25%
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : น้ำมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับสารพิษและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม การดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2-3 ลิตร จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างราบรื่นและลดโอกาสการสะสมของเสียในลำไส้
นอกจากนี้ ผู้ที่ทำดีท็อกควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอด้วยเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด เพื่อให้มั่นใจว่าสมดุลน้ำตาลในร่างกายยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการดีท็อกลําไส้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดีท็อกลำไส้ แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในบางกรณี โดยเฉพาะหากทำไม่ถูกวิธีหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ
- ท้องเสีย : การขับถ่ายที่มากเกินไปหรือบ่อยเกินอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ งานวิจัยพบว่า การสูญเสียน้ำในร่างกายมากกว่า 2% ของน้ำหนักตัวสามารถลดสมรรถภาพทางกายและการทำงานของสมองได้ถึง 20%
- อาการแพ้ : ผลิตภัณฑ์ดีท็อกบางชนิดมีส่วนผสมของสมุนไพรหรือสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม หรืออาการรุนแรงอย่างช็อกจากการแพ้ (Anaphylaxis) โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติแพ้สมุนไพรบางชนิด เช่น มะขามแขก
- อาการปวดท้อง : การเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดอาการปวดเกร็งหรือท้องอืดในบางคน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่เริ่มดีท็อกควรเริ่มต้นด้วยการปรับปริมาณอาหารที่มีกากใยสูงในแต่ละวันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กลุ่มคนที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดีท็อกลำไส้
การดีท็อกลำไส้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว : คนที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคลำไส้อักเสบ (IBD) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำดีท็อก เนื่องจากการสูญเสียน้ำหรือแร่ธาตุอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม อาจทำให้สมดุลของแร่ธาตุเสียไปจนเกิดภาวะอันตราย
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร : ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงต้องการสารอาหารและน้ำในปริมาณที่มากขึ้น การดีท็อกอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและสารอาหารที่สำคัญ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ และในขณะให้นมบุตร อาจทำให้ปริมาณน้ำนมลดลงหรือคุณภาพน้ำนมลดลงได้
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้หรืออาการผิดปกติทางระบบทางเดินอาหาร : กลุ่มคนที่เคยมีอาการแพ้สมุนไพรหรือสารเคมี ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเหล่านั้น นอกจากนี้ ผู้ที่มีประวัติการอุดตันของลำไส้หรือเคยผ่าตัดระบบย่อยอาหาร ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเริ่มดีท็อก
- ผู้ที่กำลังรับประทานยารักษาโรค : ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยารักษาความดันโลหิต อาจมีปฏิกิริยากับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดีท็อก การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดีท็อกลำไส้ เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในการกำจัดของเสียและสารพิษที่สะสมในร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหารและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม นอกจากนี้ หลายคนยังพบว่าการดีท็อกช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น ลดปัญหาสิวและผิวหมองคล้ำได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นดีท็อกควรทำด้วยวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนอาหารหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรเลือกวิธีที่สอดคล้องกับสุขภาพและความต้องการของตนเอง หากมีข้อสงสัยหรือมีโรคประจำตัว การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์จะช่วยให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการดีท็อกนั้นปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. ดีท็อกลําไส้ควรทำบ่อยแค่ไหน?
ความถี่ในการดีท็อกลำไส้ขึ้นอยู่กับสุขภาพและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปผู้ที่มีระบบขับถ่ายปกติสามารถดีท็อกลำไส้เป็นครั้งคราว เช่น เดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยล้างสารพิษและปรับสมดุลลำไส้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกหรือระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ อาจต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดความถี่ที่เหมาะสม
2. ดีท็อกลําไส้ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
ดีท็อกลำไส้ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักโดยตรง แต่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะสั้น โดยการขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนควรเน้นที่การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายมากกว่า
3. อาหารชนิดใดช่วยล้างลำไส้ได้ดีที่สุด?
อาหารที่มีไฟเบอร์สูงเป็นตัวช่วยสำคัญในการล้างลำไส้ เช่น ผักใบเขียว (คะน้า ผักโขม บรอกโคลี) ผลไม้ที่มีกากใยสูง (แอปเปิล ฝรั่ง แก้วมังกร) และธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต) ไฟเบอร์จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและเพิ่มปริมาณกากใยในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ใครบ้างที่ไม่ควรทำดีท็อกลำไส้?
การดีท็อกลำไส้อาจไม่เหมาะสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคลำไส้อักเสบ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่มีประวัติการแพ้สมุนไพรหรือส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดีท็อก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มดีท็อกเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
อ้างอิง
- Louisa Richards, 3-day gut reset: Does it work?, Medicalnewstoday, November 28, 2023, https://www.medicalnewstoday.com/articles/3-day-gut-reset.
- Gut Microbiome, Mayo Clinic, August 18, 2023, https://my.clevelandclinic.org/health/body/25201-gut-microbiome.
- Ruairi Robertson, How Does Your Gut Microbiome Impact Your Overall Health? , Healthline, April 3, 2023, https://www.healthline.com/nutrition/gut-microbiome-and-health